วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2558

ทฤษฎีการเชื่อมต่อ Connectivism


 Siemens  ผู้เสนอทฤษฎี  Connectivism  มีความคิดเห็นว่าทฤษฎีการเรียนรู้ที่มีอยู่ปัจจุบันเป็นทฤษฎีที่เหมาะสมกับยุคปัจจุบันที่เป็นยุคดิจิตอล  เมื่อมีการเชื่อมโยงได้อย่างรวดเร็วทำให้ความรู้ที่มีอยู่นั้นอายุสั้นลง  ความรู้ที่ทันสมัยในปัจจุบันกลายเป็นความรู้ที่ล้าสมัยในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนอย่างรวดเร็วตลอดเวลาจึงทำให้เราจำเป็นจะต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ทฤษฎีการเชื่อมต่อ Connectivism  เป็นทฤษฎีที่เกิดมาจากความก้าวหน้าของอินเทอร์เน็ตซึ่งเน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ช่วยตอบสนองและเสริมทฤษฎีการเรียนรู้ที่มีก่อนนี้ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่การเรียนรู้นั้นยังไม่เกิดผลกระทบจากเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล ทฤษฎีนี้มีความเชื่อว่าการเรียนรู้มีการเลื่อนไหลไม่หยุดนิ่งความรู้ต่างๆเกิดขึ้นทุกเวลานาที นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็วที่ล้วนกระทบต่อชีวิตความ เป็นอยู่ของคนเรา อีกทั้งยังเปลี่ยนแปลงทิศทางของการเรียนรู้ด้วย เช่น จากการเรียนรู้ว่าอย่างไร และรู้อะไรเป็นการเรียนรู้ว่าจะหาความรู้ได้ที่ใดการเรียนรู้นอกระบบมีความสำคัญต่อประสบการณ์การเรียนรู้ การเรียนรู้เกิดขึ้นจากวิธีการหลากหลาย เช่น จากชุมชน จากเครือข่ายบุคคล และจากการทำงานให้สำเร็จ การเรียนรู้ ยังเป็นกระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิต 
การประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีหรือการเรียนการสอน
ความรู้จะถูกเชื่อมโยงอย่างเหมาะสมทั้งทางด้านความรู้ฐานข้อมูล สิ่งแวดล้อม พฤติกรรม การรับการถ่ายโอนข้อมูล การไหลของข้อมูล เครือข่ายทางสังคมเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ในการเรียนรู้แบบยุคดิจิตอลเช่น การหาข้อมูล ทักษะการทำอาหาร ผู้เรียนสามารถเข้าไปหาข้อมูลเริ่มจากต้องการจะทำอาหารเย็น โดยเริ่มจากสิ่งที่ต้องการค้นหา สามารถเข้าไปค้นหาผ่านทางระบบค้นหา Search ระบบจะนำพาข้อมูลเว็บไซต์ทั้ง วิดิโอสอนทำอาหาร รูปภาพ พิกัดที่ตั้งแผนที่ร้านอาหาร Blogs เว็บสังคมออนไลน์ที่เกี่ยวข้อง โดยผู้ใช้ต้องการเรียนรู้วิดีโอการเรียนรู้ สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ Youtube เพื่อดูวิดีโอที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ค้นหา ประกอบกับบริการของ Youtube เป็นบริการแบบการโพสวิดีโอแบบสังคมออนไลน์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่โพส หรือข้อมูลที่ใกล้เคียงจะเชื่อมโยงให้ผู้เรียนเข้าไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้โดยในบางวิดีโอจะมีการแสดงความคิดเห็นที่ผู้แสดงความคิดเห็นรายอื่นๆ สามารถพิมพ์ข้อความ ลิงค์ที่น่าสนใจ และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องทำ ให้ผู้เรียนรู้สามารถคลิกเข้าไปเรียนรู้เพิ่มเติมและทำ ความเข้าใจ หรือทำการค้น หาในคำพูด หรือสิ่งที่ผู้แสดงความคิดเห็นแสดงไว้ได้
กรณีศึกษาหรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
นาวิน  คงรักษา, ปณิตา วรรณพิรุณ (ม.ป.ป.).การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านเอมเลิร์นนิ่งตามแนวทฤษฎีการเชื่อมต่อด้วยวิธีการปริทัศน์ความรู้จากสภาพแวดล้อมจริง. มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง

วิจารณ์ สงกรานต์.(ม.ป.ป.) การบูรณาการLearningobject กับ Facebook เพื่อการเรียนแบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง.มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขาคอมพิวเตอร์ศึกษา
กวิทธิ์ ศรีสัมฤทธิ์.(ม.ป.ป.) การใช้ระบบประมวลผลก้อนเมฆเพื่อใช้สำหรับการเรียนรู้ตามแนวทางทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยม.


สรุป    การจัดการเรียนรู้แบบ  “Connectivism” เป็นทฤษฎีการเรียนรู้แบบใหม่ที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีบทบาทใช้ชีวิตของมนุษย์มากขึ้น ซึ่งการนำทฤษฎีนี้มาใช้ต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลความรู้จากแหล่งความรู้ต่างๆ มากมาย และเป็นองค์ความรู้ที่เป็นปัจจุบัน ทำให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

ทฤษฎีรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมาตรฐาน (dominant design)

ทฤษฎีรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมาตรฐาน (dominant design)
ทฤษฎีรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมาตรฐาน หรือทฤษฎีการออกแบบที่โดดเด่น (dominant design) เป็นการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมที่ก้าวผ่านเทคโนโลยีแบบเดิมๆ โดย Schumpeter ได้กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็น “creative destruction” เป็นการทำลายที่สร้างสรรค์ เป็นการปรับปรุงสินค้า บริการ หรือวิธีการปฏิบัติงานให้ดีขึ้นที่ละเล็กทีละน้อยจนถึงจุดที่เรียกว่า Dominant Design แบบที่พร้อมออกสู่ตลาด  จุดเริ่มต้นของรูปแบบการแข่งขัน ซึ่งอาจจะมีการลอกเลียนแบบหรือเพิ่มเติม ปรับปรุงบางส่วนให้ดียิ่งขึ้น  ช่วงที่มีความเกี่ยวข้องกับ dominant design ได้แก่
1. ช่วงเริ่มต้นที่ยังไม่มีความชัดเจน (Fluid phase) เป็นช่วงที่มีการค้นคว้าและทดลองผลิตสินค้าใหม่ หรือเทคโนโลยีใหม่ เข้าสู่ตลาด ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่รู้ว่าทำไปแล้วลูกค้าจะต้องการหรือไม่ ตลาดจะยอดรับหรือเปล่า ซึ่งการทดลองในช่วงนี้ ได้เริ่มต้นทีละเล็กทีละน้อยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จนกระทั่งถึงจุดที่เรียกว่า Dominant Design
2. ช่วงที่เกิดเป็นรูปและร่าง Transition Phase เป็นช่วงที่เกิด Dominant design เปลี่ยนแปลงโครงสร้างแล้ว ซึ่งมีการผลิตออกสู่ตลาดแล้ว อาจเกิดการลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์นั้น ได้
กลุ่มผู้ผลิตเดิมในยุคนั้น มุ่งเน้นทำการผลิตเพื่อตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้า จนมองข้ามโอกาสในการพัฒนาการเจาะตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อมหาศาล เพราะตลาดใหม่มักจะเริ่มจากตลาดเล็ก ผู้ผลิตเองก็ไม่สามารถผลิตแบบเต็มกำลัง และอาจยังไม่สามารถระบุความต้องการที่ชัดเจนได้ โดยส่วนใหญ่มักจะเริ่มจากความยุ่งยาก ความไม่แน่นอน เนื่องจากตลาดมีขนาดเล็กและไม่ชัดเจนว่าจะมีโอกาสในการเติบโตมากน้อยเพียงใด
กลุ่มลูกค้าใหม่ในธุรกิจ PC นี้เป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการคอมพิวเตอร์ใช้ที่บ้าน ได้กลายมาเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุดของผู้ผลิต ดังนั้นจะต้องมีการพิจารณาว่า อะไรควรจะเป็น Dominant design ของลูกค้ากลุ่มนี้ ที่มีการพิจารณาราคาและประสิทธิภาพที่แตกต่างจากเดิมเป็นสำคัญ       นอกจากนั้นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก เริ่มมองเห็นผลประโยชน์ที่จะได้รับจาก ไดรฟ์ที่มีรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่ยังคงมีฟังก์ชันการใช้งานตามที่พวกเขาต้องการ ในราคาที่ถูกลงและประสิทธิภาพสูงขึ้น
              ดังนั้นเทคโนโลยีที่ใช้ในการออกแบบ Dominant design จะต้องมีความสามารถเพียงพอและเชื่อถือได้ ในที่สุดผู้ผลิตก็สามารถคิดค้น พัฒนาสินค้าจนถูกใจ ไม่เพียงแต่กับลูกค้ากลุ่มใหม่เท่านั้นลูกค้าเดิมก็ พอใจกับสินค้าที่มีราคาและประสิทธิภาพน่าดึงดูดใจจนพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีกว่าเดิม รวมถึงสร้างความแตกต่างของสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น พยายามทำให้สินค้าราคาถูก แต่มีคุณภาพสูง

อ้างอิง : http://mrslaongtip.wordpress.com.  ค้นเมื่อ 12 ธันวาคม 2557.